เทคนิคการปฏิบัติ
เทคนิคนี้เป็นเทคนิคการสร้างวินัยในตัวเองและสร้างความคุ้นเคยกับการอ่าน
ถ้าเพื่อนๆอ่านหนังสือแล้วมีอาการง่วงหรือปวดหัวนั่นแสดงว่าสมองกำลังพยายามจัดลำดับความคิดให้เป็นโครงสร้างเครือข่ายความเข้าใจซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ให้พัก 10-15 นาทีแล้วมาอ่านใหม่ อาจจะเดินเล่นตรงระเบียงหรือฟังเพลงก็ได้
ถ้าอ่านไปแล้ว 1-2 ชม. แล้วปวดหัวมากให้นอนไปเลยครับ
เมื่อคุ้นเคยกับการอ่านแล้วอาการเหล่านี้จะลดลง
เนื่องสมองมีโครงข่ายแล้วมันแค่ต่อยอดโครงข่ายเดิมเท่านั้น
1.อ่านเนื้อหาที่อาจารย์จะสอนในวันถัดไป
วิธีนี้เป็นการเตรียมตัวเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยในเนื้อหาวิชา
โดยหัวข้อเนื้อหาวิชาจะมีบอกล่วงหน้าในประมวลการสอนที่อาจารย์แจกให้ในการสอนวันแรก
หลายๆคนอาจบอกว่าอ่านไม่รู้เรื่องเลย
จริงๆแนวเทคนิคนี้ไม่ได้มีความมุ่งหวังที่จะทำให้เข้าใจแต่เพื่อความคุ้นเคยเท่านั้น
อ่านไปเถอะครับไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม
นอกจากนั้นยังทำให้เราตอบคำถามที่อาจารย์ถามในห้องได้อีกด้วยทำให้สนุกกับการเรียน
2.ทบทวนเนื้อหาและทำบ้านการบ้านที่อาจารย์สอนในวันนี้
ยิ่งเราทบทวนเนื้อหาเร็วเท่าใด จะทำให้เราจำและเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้นเท่านั้น
หากปล่อยเวลาล่วงเลยไปมากเราก็จะลืม เทคนิคนี้มุ่งเน้นเพื่อการเข้าใจเนื้อหาโดยรวม
ยังไม่ต้องจำรายละเอียดก็ได้ครับ
3.ทำงานส่งทุกๆงานที่อาจารย์สั่ง
แน่นอนครับยิ่งเป็นวิชาที่คะแนนเก็บเยอะๆก็ยิ่งสำคัญ เป็นคะแนนที่ช่วยให้เข้าใกล้ A ได้มากขึ้น
เพราะถ้าเรามีคะแนนเก็บมากๆ เราก็จะทำคะแนนให้ได้ A ง่ายขึ้น
จะทำให้เวลาสอบไม่เครียดและกดดันตัวเองมากเกินไป
4.คบเพื่อนที่เรียนเก่ง
เพื่อนที่ขยันทำงานหรือแฟนที่ชวนกันเรียน
ถ้าเรามีเพื่อนที่เรียนเก่งเราสามารถถามปัญหาที่เราสงสัยหรือชวนกันคุยเกี่ยวกับเรื่องเรียนได้
ส่วนเพื่อนที่ขยันทำงานจะช่วยเตือนให้ทำงานส่งอยู่เสมอ
เวลาทำงานกลุ่มก็ช่วยกันทำงาน งานที่ทำก็จะเสร็จเร็วและมีคุณภาพ
5.เวลาเรียนหากไม่เข้าใจให้ถามอาจารย์ในห้องได้เลย
ไม่ต้องอายเพื่อนกลัวว่าตัวเองจะโชว์โง่ ให้คิดว่า “เราโง่ในวันนี้เราจะฉลาดในวันหน้าเพราะว่าเราขี้สงวัย” แต่ถ้ามีคำถามจำนวนมากก็แบ่งออกมาถามหลังเลิกคาบเรียนก็ได้
ถ้าถามบ่อยเกินไปอาจารย์จะไม่ได้สอนเนื้อหากันพอดีแถมเพื่อนๆจะรำคาญและเกลียดขี้หน้าเราด้วย
6.ในช่วงก่อนสอบ 1-2 สัปดาห์ให้อ่านเนื้อหาทั้งหมดอีกครั้งแล้วทำสรุป
จะสรุปเป็นข้อๆหรือเป็นแผนผังความคิด(Mind Mapping)หรือจดเป็นสีๆก็ได้แล้วแต่ถนัด
ห้ามอ่านทั้งคืนก่อนสอบเพราะจะเกิดผลเสียต่อร่างกายและสุขภาพของสมองในระยะยาว
นำสรุปมาทบทวนและท่องจำได้ถึงสี่ทุ่มเท่านั้นหรือจะตื่นมาทบทวนตอนเช้าก็ได้
ก่อนสอบอย่ากินอาหารหนักมากเกินไป ควรเน้นอาหารที่เผาผลาญได้เร็วจำพวกคาร์โบไฮเดรตเช่น
น้ำตาล น้ำหวาน ผลไม้
เทคนิคการคิด
เทคนิคนี้เป็นเทคนิคสำคัญที่ต้องทำควบคู่ไปกับเทคนิคแรก
เราจะเห็นได้ว่าคนที่อ่านหนังสือเยอะๆก็ไม่ได้เรียนเก่งเสมอไป
บางครั้งคนอ่านน้อยกว่าก็ทำข้อสอบได้ดีกว่า
เพราะเขามีพื้นฐานมาดีหรือเทคนิคการคิดที่ดี หากเขาใช้เทคนิคแรกร่วมด้วยลองคิดดูว่าเขาจะเก่งแค่ไหน
7. เปิดใจ
สนใจและเห็นความสำคัญของเนื้อหาที่จะเรียน
การเปิดใจจะทำให้เรามีทัศนะคติทางบวกกับการเรียน จะเห็นได้ว่าคนที่
เกลียดวิชาเลขหรืออังกฤษจะไม่มีวันเข้าใจวิชานั้นๆได้เลย
เพราะปิดกั้นตัวเองตั้งแต่แรก ให้ลองคิดว่าวิชานี้สำคัญอย่างไร
สามารถเอาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ความสำคัญของวิชามักจะเขียนไว้ในบทที่ 1 ของหนังสือที่หลายๆคนมักมองข้ามไปนั่นแหละครับ
ถ้าไม่มีก็ลองถามรุ่นพี่หรืออาจารย์ผู้สอนก็ได้ครับ
แต่ว่าบางวิชาก็ไม่สามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้ เพราะเป็นวิชาพื้นฐานสำหรับต่อยอดวิชาต่อๆไปเช่น
วิชาคณิตศาสตร์เบื้องต้น
8.ตั้งข้อสงสัยและขบคิดหาคำตอบในเนื้อหาวิชาเป็นประจำเมื่อมีเวลาว่าง
วิธีนี้นักคิดระดับโลกหลายๆคนใช้อย่าง อัลเบิร์ต ไอสไตน์
มักครุ่นคิดอยู่กับแนวคิดกาลอวกาศ เราจะเห็นได้ว่าคนเรียนเก่งบางคนมักจะพูดน้อย
เหม่อลอย จริงๆแล้วเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ครับ
หากเรามีเวลาว่างเช่น ทานข้าว นั่งรถเมล์ รถไฟฟ้า ซักผ้าล้างจาน
อาบน้ำ ออกกำลังกาย ก็ลองตั้งข้อสงสัยและลองคิดหาคำตอบดู หรือลองใช้คำว่า “ถ้า” ดูครับเช่น
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ หรือลองกลับสมการปกติย้ายข้างไปมาและลองตีความหมายของสมการนั้นดู
หรือลองคิดอะไรแปลกเลยก็ได้เพราะอย่างที่ไอน์สไตน์ว่า “จิตนาการสำคัญกว่าความรู้”
9.ลองเอาความรู้มาทดลองใช้ในชีวิตประจำวันหรือใช้ในสถานการณ์ต่างๆ
วิธีนี้เป็นการฝึกฝนการใช้ความรู้อยู่เสมอ ทำให้เราเชี่ยวชาญถึงแม้จะยากในบางสถานการณ์
ก็ลองปรึกษากับเพื่อนๆ หรืออาจารย์ดูก็ได้
10.เรียนให้ได้มากกว่า A โดยการหาความรู้เพิ่มเติม
เนื่องจากวิชาที่เราเรียนนี้มาการพัฒนาองค์ความรู้อยู่ตลอดเวลา
เราจะเรียนด้วยตำราเพียงเล่มเดียวไม่ได้จะต้องหาตำราเล่มอื่นที่มีเนื้อหาที่คล้ายๆกันมาอ่านประกอบเพราะจะได้แนวคิดใหม่ๆเพิ่มเติมจากในห้องเรียน
ยิ่งเป็นตำราต่างประเทศยิ่งดีได้ฝึกอ่านภาษาอังกฤษไปในตัว
นอกจากนั้นตำราบางเล่มก็พิมพ์ผิดอาจทำให้เราเข้าใจผิดๆได้
ความรู้เพิ่มเติมนั้นสามารถหาได้ในห้องสมุด ในอินเตอร์เน็ตเยอะแยะมากมาย
ควรอัพเดตความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอๆ
สำหรับคนที่เก่งและมีความรู้แล้ว
ผมแนะนำให้จับกลุ่มติวให้เพื่อนเพราะการติวจะทำให้เราทบทวนความรู้ไปในตัว
และถ้าเราสามารถทำให้คนอื่นเข้าใจได้แสดงว่าเราเข้าใจเนื้อหา ณ
จุดนั้นๆครบถ้วนแล้ว หากเราไม่สามารถอธิบายได้แสดงว่าไม่เข้าใจเนื้อหาอย่างลึกซึ้ง
นอกจากนั้นการติวยังได้ความถามแปลกๆใหม่ๆจากเพื่อนๆอีกด้วย
ทำให้เรามีความรู้มากขึ้น
เห็นมั๊ยล่ะครับว่าเทคนิคก็มีอยู่เพียง 10 ข้อเท่านั้นเอง
ไม่ยาก แต่ถ้าเพื่อนๆคิดว่ามันลำบาก
คิดว่าแค่เดินทางไปกลับมหาวิทยาลัยก็เหนื่อยก็เพลียแล้วอ่านหนังสือไม่ไหว
หรือทำกิจกรรมไม่มีเวลาอ่านหนังสือ
ให้เราคิดว่าเราลำบากวันนี้เราจะสบายในวันข้างหน้า ยิ่งในยุคปัจจุบันการแข่งขันสูงมากแล้วอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะมีคนมาแย่งงานเราทำอีก
เราต้องขยันและอดทนเพื่ออนาคตที่ดีของเราและเป็นที่ภาคภูมิใจของครอบครัว
อนึ่งต้องจำไว้ว่า การเรียนหนังสือเก่งไม่ได้ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตเสมอไป
การเรียนเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จเท่านั้น
ดังนั้นเราไม่ควรจริงจังมากเกินไป จนเครียด ไม่หลับไม่นอนเสียสุขภาพ ต้องได้ A เท่านั้น ทำตัวแปลกออกจากเพื่อนๆไม่เข้าสังคม ไม่ทำกิจกรรมอย่างอื่นเลยอย่างนี้ตึงเกินไป
หรือปล่อยปะละเลยมากเกินไป วันๆสนใจแต่เล่นเกม สังสรรค์กับเพื่อน เที่ยวห้าง
ดูหนัง ติดละคร ติดซีรีย์ เล่นเชทเล่นโซเชียลมีเดีย
ไม่อ่านหนังสือเลยอย่างนี้ก็หย่อนเกินไป
ต้องเดินสายกลางให้เราคิดว่าการเรียนมหาวิทยาลัยเป็นการพัฒนาตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมสู่การทำงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น